* ตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ
เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส
บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์
เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์
และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ
อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส
เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม
เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า
Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส
ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ
เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล
จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก
กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่
ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ
เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย
ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง
*
กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก
และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ
และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ
พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง
ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ
*กุหลาบขาว กับ กุหลาบแดง สีไหนเกิดก่อน ?
*
มีหลายตำนานเล่าถึงการเกิดกุหลาบสีขาวและกุหลาบสีแดงไว้แตกต่างกัน
ตำนานหนึ่งเล่าว่า กุหลาบขาว เกิดขึ้นก่อน กุหลาบแดง
เดิมทีมีนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาวแสนสวย
ขณะที่มันกำลังจะโอบกอดดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเอง
หนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน
หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลเลยทำให้ดอกกุหลาบสีขาวกลายเป็นสีแดง
เลยมีดอกกุหลาบสีแดงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่ากุหลาบสีแดงใน
สวนอีเดน เกิดจาการจุมพิตของ อีฟ เจ้าดอกกุหลาบขาวที่หญิงสาวจุมพิต
เลยเกิดอาการขวยเขินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง
*
นอกจากนี้ ความหมายของความรักในศาสนาคริสต์
ถือว่ากุหลาบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย
และกุหลาบสีแดงเกิดจากหยาดพระโลหิตของ พระเยซูเจ้า เมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม
มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกาศศาสนาที่พลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้า
(ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.panmai.com/Valentine/rose_legend.shtml)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น